วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2552

คนบ้ารถไฟ










ประวิติของรถไฟแห่งประเทศไทย

ปีรัตนโกสินทรศก 105 ตรงกับปี พ.ศ. 2429 กิจการรถไฟได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อรัฐบาลได้อนุมัติสัมปทาน แก่บริษัทชาวเดนมาร์กให้สร้างทางรถไฟจากกรุงเทพฯถึงสมุทรปราการ ระยะทาง 21 กิโลเมตร หลังจากนั้น ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2433 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตั้งกรมรถไฟหลวงขึ้นสังกัดกระทรวงโยธาธิการ ครั้นเมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2439 พระองค์จึงเสด็จทรงประกอบพระราชพิธีเปิดการเดินรถไฟระหว่างกรุงเทพฯ - อยุธยา ระยะทาง 71 กิโลเมตร ซึ่งทางการได้ถือเอาวันนี้เป็นวันสถาปนากิจการรถไฟหลวง ความกว้างของรางเมื่อแรกสร้างทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นรางกว้าง 1.435 เมตร ระยะทางทั้งหมด 1,076 กิโลเมตร ส่วนทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเป็น รางกว้าง 1.00 เมตร ที่สร้างเป็นรางขนาด 1.00 เมตรก็เพื่อให้มีขนาดเท่ากับ ของประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลาย คือ มาเลเซีย พม่า เขมร ต่อจากนั้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงให้เปลี่ยนราง ขนาด 1.435 เมตร ทางฝั่งตะวันออก ที่สร้างไปแล้วทั้งหมดเป็นขนาด 1.00 เมตร โดยใช้เวลาทั้งสิ้น 10 ปี แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2469
หัวรถจักรไอน้ำสายแม่กลอง
ในปี พ.ศ. 2471 ได้นำหัวรถจักรดีเซลรุ่นแรก ยี่ห้อ S.L.M. Winterthur รุ่น 21 - 22 จำนวน 2 คัน จากประเทศสวิสเซอร์แลนด์มาใช้งาน โดยใช้เป็นรถจักรลากจูงสับเปลี่ยนทำขบวนรถไฟและลากจูงขบวนรถท้องถิ่นรอบ ๆ กรุงเทพฯ (ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียอาคเนย์ที่นำรถจักรดีเซลมาใช้งาน) และต่อมาในปี 2504 ได้เริ่มโครงการ Dieselization โดยทยอยจัดหารถจักรดีเซล มาใช้แทนรถจักรไอน้ำซึ่งใช้เวลา 14 ปี จึงแล้วเสร็จในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 กิจการรถไฟประสบภัยสงครามอย่างหนักทรัพย์สินทั้งทางอาคาร และรถจักรล้อเลื่อน ได้รับความเสียหายมากจำต้องเร่งบูรณะฟื้นฟูให้กลับสู่สภาพเดิม โดยเร็วถ้าจะอาศัย เงินลงทุนจากงบประมาณของรัฐแหล่งเดียวจะไม่ทันการณ์ รัฐบาลจึงต้องขอกู้เงินจาก ธนาคารโลกมาสมทบในระหว่างการเจรจากู้เงินนั้นธนาคารโลกได้เสนอให้รัฐปรับปรุง องค์กรของกรมรถไฟหลวงให้มีอิสระกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวใน การ บริหารกิจการในเชิงธุรกิจกรมรถไฟหลวง จึงเปลี่ยนฐานะมาเป็นรัฐวิสาหกิจประเภท สาธารณูปการ ภายใต้ชื่อว่า การรถไฟแห่งประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2494 เป็นต้นมา โดยดำเนินการอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.การรถไฟฯ ฉบับ พ.ศ. 2494 ซึ่งในหลักการรัฐคุมการแต่งตั้งและปลดผู้บริหาร คุมอัตราเงินเดือนพนักงาน คุมอัตราค่าโดยสาร และค่าระวาง คุมการปิดเปิดเส้นทางและการบริการ และคุมการลงทุนทั้งหมด แต่หากดำเนินงานขาดทุนรัฐจะชดเชยให้เท่าจำนวนที่ขาด
หัวรถจักรดีเซลรุ่นแรกของไทย

การรถไฟแห่งประเทศไทย

เมื่อพูดถึงรถไฟ... มโนภาพที่หลาย ๆ ท่านเห็นก็คือภาพรถไฟที่ใช้หัวรถจักรไอน้ำลากจูงมีควันพุ่งโขมงแบบนี้แหละ แต่ท่านเคยทราบหรือไม่ว่ารถจักรไอน้ำได้นำเข้ามาใช้ในเมืองไทยในสมัยใด รถจักรไอน้ำคันสุดท้ายหน้าตาเป็นอย่างไร ถ้าอยากทราบเชิญติดตามได้เลยครับ


หลังจากที่การรถไฟได้ใช้หัวรถจักรไอน้ำลากจูงขบวนรถไฟมาหลายปี ต่อมาเมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2508 การรถไฟก็ได้ใช้หัวรถจักรดีเซลลากจูงขบวนรถไฟเป็นครั้งแรก


การรถไฟแห่งประเทศไทย จัดขบวนรถไฟฟรีเพื่อประชาชน ตามมาตรการของรัฐบาล เป็นเวลา ๖ เดือน ที่สถานีรถไฟบ้านตาคลี ให้บริการทุกวัน วันละ ๑๐ ขบวน ถึงเดือนมกราคมปีหน้านอกจากนี้ยังสมารถโดยสารฟรีในขบวนรถเร็วที่จัดตู้โดยสารชั้น 3 ด้วย









หัวรถจักรดีเซลที่ใช่อยู่ในปัจจุบัน มีอยู่ด้วยกัน 4 ยี่ห้อ คือ


KRUPP-ALSTHOM-HITACHI-GE (GENERAL ELECTRIC)

GRUPP เป็นหัวรถจักรดีเซลไฮโดรลิคส์ ใช้ระบบขับเคลื่อนด้วยเฟืองส่งกำลังไปยังเพลาและล้อเพื่อขับเคลื่อนหัวรถจักรอีกต่อหนึ่ง หัวรถจักยี่ห้อนี้ไม่กลัวน้ำ เมื่อเวลาน้ำท่วมรางรถไฟ การรถไฟจะใช้หัวรถจักรยี่ห้อนี้ไปแทนหัวรถจักรดีเซลไฟฟ้าซึ่งถูกน้ำไม่ได้เพราะใช้ระบบขับเคลื่นด้วยไฟฟ้า

ALSTHOM , HITACHI , GE เป็นหัวรถจักรดีเซลไฟฟ้า ใช้ระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า เครื่องยนต์ของหัวรถจักรยี่ห้อต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ได้ทำหน้าที่ขับเคลื่อนหัวรถจักรโดยตรง แต่เครื่องยนต์จะทำหน้าที่ปั่นไดนาโมให้กำเนิดไฟฟ้าแล้วส่งไปยังมอเตอร์กำลังเพื่อไปฉุดเพลาล้อให้ขับเคลื่อนอีกทีหนึ่ง หัวรถจักรแต่ละหัวจะมีเพลาล้อ 6 เพลา จึงใช้มอเตอร์ทั้งหมด 6 ตัวครับ ดังนั้นถ้าเกิดกรณีน้ำท่วมรางรถไฟสักประมาณ 10 ซ.ม. หัวรถจักรเหล่าไม่สามารถแล่นได้เพราะน้ำจะเข้าไปในมอเตอร์ซึ่งอยู่ใต้ท้องของตัวรถจักรอาจทำให้ไฟฟ้าว๊อตเสียหายได้

หัวรถจักรดีเซล เอส แอล เอ็ม วินเตอร์เชอร์ รุ่น 21 - 22 หัวรถจักรรุ่นนี้มีจำนวน 2 คันกำลัง 200 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 40 กม./ชม.รถจักรดีเซลรุ่นแรกที่นำมาใช้ในเมืองไทย และเป็นประเทศแรกในเอเชียอาคเนย์ที่ได้นำรถจักรดีเซลมาใช้ประเทศผู้สร้าง สวิสเซอร์แลนด์นำมาใช้ในปี พ.ศ. 2471หัวรถจักรประวัติศาสตร์ปัจจุบันตั้งอยู่ที่หน้าตึกบัญชาการรถไฟ



การจราจรรถไฟ








การจราจรรถไฟ ควบคุมโดยสถานีรถไฟต่าง ๆ ที่รถไฟเข้าไม่ว่าจะเป็นการเข้าจอดรับผู้โดยสารหรือวิ่งผ่าน นายสถานีจะแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ประจำสถานีคนหนึ่งทำหน้าควบคุมการจราจรรถไฟเรียกว่าเจ้าหน้าที่คุมประแจ มีหน้าที่คอยสับประแจรางและป้ายสัญญาณต่าง ๆ เพื่อให้รถไฟเดินรถเข้าสถานีด้วยความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่มีรถไฟเข้าสถานี 2 ขบวนในเวลาเดียวกัน(สวนทางกัน) หรือสับหลีกให้รถที่มีลำดับศักดิ์ดีกว่าไปก่อนแล้วให้รถลำดับศักดิ์รองลงมาจอดรอการสับประแจรางเพื่อให้รถเดิน มีอยู่ 3 ทิศทางคือ ทางตรง แยกขวา แยกซ้ายตามภาพข้างบนนี้ เป็นการสับประแจเพื่อให้รถวิ่งทางตรงครับ โดยสังเกตุจากโคมประแจช่องสี่เหลี่ยมสีขาวรูปก้อนอิฐแนวตั้ง หมายถึงให้รถไปทางตรง สัญลักษณ์ของโคมประแจนี้จะช่วยบ่งบอกว่าการสับประแจถูกต้องหรือไม่ด้วย โคมนี้จะแสดงให้เห็นทั้งสองด้าน คือ ด้านที่รถไฟมาเพื่อแสดงให้ พ.ข.ร.ทราบ ส่วนด้านที่หันมาทางสถานีเพื่อให้นายสถานีหรือเจ้าหน้าที่ทราบ
ให้สังเกตุที่หัวประแจราง จะเห็นว่า ด้านหนึ่งจะชิดติดกันกับอีกรางหนึ่ง อีกด้าหนึ่งจะแยกห่างออกจากราง การสังเกตุว่าหัวประแจรางถูกสับให้รถไฟวิ่งไปทางไหน ให้สังเกตุรางด้านที่หัวประแจแยกออกห่างเป็นหลักไว้ก็ได้(ความคิดเห็นส่วนตัว) รางด้านที่หัวประแจถูกสับให้แยกห่างออกมามีทิศทางไปทางไหน เมื่อรถไฟวิ่งมาก็ต้องถูกบังคับให้ไปตามรางนั้น โดยมีรางหัวประแจที่ถูกผลักให้ไปชิดกับรางอีกด้านหนึ่งเป็นรางคู่ขนานของรางคู่นั้น



ตัวอักษรย่อข้างโบกี้รถไฟ



ท่านเคยสังเกตไหมครับว่าที่ด้านข้างโบกี้รถไฟทุกโบกี้จะมีอักษรย่อกำกับไว้ทุกโบกี้ อักษรย่อเหล่านั้นมีความหมายว่ากระไร เรื่องนี้ผมเองก็เคยสงสัยอยู่นานเหมือนกัน แต่เมื่อได้ไปค้นข้อมูลที่ ศูนย์ข้อมูลข่าวสาร กองประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย ผมก็ได้คำตอบที่ชัดเจนแล้วครับท่านที่เคยมีข้อสงสัยเช่นเดียวกับผมก็ลองไปหาข้อมูลที่นี้ได้นะครับ มีข้อมูลที่เกี่ยวกับรถไฟเพียบเลยครับ เขาเปิดให้บริการตั้งแต่วันจันทร์ – ถึงวันศุกร์ ในเวลาราชการครับ แต่ถ้าท่านไม่ค่อยจะมีเวลาไป ผมได้นำมาเสนอท่านแล้วครับ อักษรย่อข้างโบกี้รถไฟมี 2 หมวด คือ หมวด โบกี้รถโดยสาร และโบกี้รถสินค้า



มาดูวิวข้างทางรถไฟกัน ฉวย ๆ ๆ


............ภาพเนี้ยได้อารมณ์มากรู้ปะ

ช้าช้า..กำลังดี..............................
..........ดูดีดี วิวสวยนะ









ที่มา ( http://www.rotfaithai.com/ )
เข้ามาดูกันเยอะๆนะ เว็บนี้สำหรับคนบ้ารถไฟ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น