วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2552

มาดูประเภทขบวนกัน

ประเภทขบวนรถโดยสาร


1. ขบวนรถด่วนพิเศษ ( Special Express )





ขบวนรถด่วนพิเศษ เป็นขบวนรถที่จัดเดินระยะทางไกล หยุดสถานีที่สำคัญ ๆ เท่านั้น
ชนิดรถให้บริการ
รถโบกี้นั่งและนอนชั้นที่ 1 ปรับอากาศ ( บนอ.ป.)
รถโบกี้นั่งและนอนชั้นที่ 2 ปรับอากาศ ( บนท.ป.)
รถโบกี้นั่งและนอนชั้นที่ 2 ( บนท.)
รถกำลังดีเซลรางปรับอากาศไม่มีห้องขับ ( กซข.ป.)
รถกำลังดีเซลรางปรับอากาศมีห้องขับ ( กซม.ป.)
ปัจจุบันมีบริการจำนวน 11 ขบวน

2. ขบวนรถด่วน ( Express )




ขบวนรถด่วน เป็นขบวนรถที่จัดเดินระยะทางไกล หยุดสถานีที่สำคัญ ๆ เท่านั้น

แต่มีการให้บริการของชนิดรถพ่วงมากกว่าขบวนรถด่วนพิเศษ
ชนิดรถให้บริการ
รถโบกี้นั่งและนอนชั้นที่ 1 ปรับอากาศ ( บนอ.ป.)

รถโบกี้นั่งและนอนชั้นที่ 2 ปรับอากาศ ( บนท.ป.)

รถโบกี้นั่งและนอนชั้นที่ 2 ( บนท.)

รถโบกี้ชั้นที่ 2 ปรับอากาศ ( บชท.ป.)

รถโบกี้ชั้นที่ 2 ( บชท.)

รถโบกี้ชั้นที่ 2 - 3 ( บสส.)

รถโบกี้ชั้นที่ 3 ( บชส.ป.)

รถโบกี้ชั้นที่ 3 ( บชส.)

รถกำลังดีเซลรางปรับอากาศไม่มีห้องขับ ( กซม.ป..)

รถกำลังดีเซลรางมีห้องขับ ( กซข.)


ปัจจุบันมีบริการจำนวน 9 ขบวน


3. ขบวนรถเร็ว ( Rapid )





ขบวนรถเร็ว เป็นขบวนรถที่จัดเดินระยะทางไกล แต่หยุดรับ - ส่ง ผู้โดยสาร
มากกว่าขบวนรถด่วน
ชนิดรถให้บริการ
รถโบกี้นั่งและนอนชั้นที่ 2 ปรับอากาศ ( บนท.ป.)

รถโบกี้นั่งและนอนชั้นที่ 2 ( บนท.)

รถโบกี้ชั้นที่ 2 ปรับอากาศ ( บชท.ป.)

รถโบกี้ชั้นที่ 2 ( บชท.)

รถโบกี้ชั้นที่ 2 - 3 ( บสส.)

รถโบกี้ชั้นที่ 3 ( บชส.ป.)

รถโบกี้ชั้นที่ 3 ( บชส.)


ปัจจุบันมีบริการจำนวน 18 ขบวน


4. ขบวนรถธรรมดา ( Ordinary )






ขบวนรถธรรมดา เป็นขบวนรถที่จัดเดินเพื่อให้บริการแก่ผู้โดยสารเดินทาง
ไปยังส่วนภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย หยุดทุก ๆ สถานี
ชนิดรถให้บริการ
รถโบกี้ชั้นที่ 2 - 3 ( บสส.)

รถโบกี้ชั้นที่ 3 ( บชส.)

รถกำลังดีเซลรางมีห้องขับ ( กซข.)


ปัจจุบันมีบริการจำนวน 28 ขบวน


5.ขบวนรถท่องเที่ยว ( Excursion )




ขบวนรถรวม เป็นขบวนรถที่จัดเดินเพื่อให้บริการนักท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ และ
วันหยุดราชการ จะหยุดรับ - ส่งผู้โดยสารเฉพาะสถานีที่มีแหล่งท่องเที่ยวเท่านั้น
ชนิดรถให้บริการ
รถโบกี้ชั้นที่ 3 ( บชส.)

รถกำลังดีเซลรางปรับอากาศมีห้องขับ ( กซข.ป.)

รถกำลังดีเซลรางปรับอากาศไม่มีห้องขับ ( กซม.ป)

รถกำลังดีเซลรางมีห้องขับ ( กซข.)
ลองเข้าดูดิติดจัย


วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2552

มามะมาดูรถไฟ







>> สิ่งจำเป็นสำหรับกิจการรถไฟ๑. ทางรถไฟโดยทั่วไปหมายถึงทางที่มีรางเหล็ก ๒ เส้น วางขนานกันบนไม้หมอนที่มีหินรองรับ ๒. รถจักร คือ รถที่มีกำลังขับเคลื่อนด้วยตัวเอง ออกแบบสร้างโดยมีวัตถุประสงค์ให้สามารถลากจูงระหว่างจำนวนหนึ่งให้เคลื่อนที่ไปได้บนราง ๓. รถพ่วง คือ รถที่ใช้บรรทุกคนโดยสารหรือสินค้าที่ไม่สามารถเคลื่อนที่ด้วยตัวเองได้ ต้องอาศัยแรงจากรถจักรมาฉุดลาก รถพ่วงแบ่งออกเป็น ๒ ชนิด โดยประเภท คือ ก) รถโดยสาร คือรถที่ใช้บรรทุกคนโดยสารจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งซึ่งภายในรถจะมีที่นั่งและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้แก่ผู้โดยสารด้วย สำหรับการเดินทางระยะไกล ในตอนกลางคืนก็จะจัดที่นอนให้ด้วย เรียกว่า รถนอน ข) รถสินค้า คือ รถที่ใช้บรรทุกสินค้าต่าง ๆ รวมทั้งสัตว์มีชีวิต รถบรรทุกน้ำมันขบวนยาว ๆ ที่เราเห็นวิ่งไปมาบนทางอยู่เสมอ ก็จัดอยู่ในประเภทของรถสินค้า ๔. สถานีรถไฟ คือ สถานีสำหรับให้รถไฟจอดรับผู้โดยสารและสินค้า รับรถพ่วงเข้าหรือตัดรถออกจากขบวน บางสถานีมีที่เติมน้ำและฟืน สำหรับรถจักรไอน้ำและน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับรถจักรดีเซล ตลอดจนมีเจ้าหน้าที่ตรวจความเรียบร้อยของขบวนรถ ทุก ๆ สถานีมีเครื่องอาณัติสัญญาณในการให้ขบวนรถเข้าออกสถานีได้อย่างถูกต้องและปลอดภัยสถานีมีอยู่ตามเส้น ทางที่ขบวนรถผ่านทุกสาย และบางสถานีมีทางหลีกให้ขบวนรถไปมาหลีกกันได้ เพราะทางเกือบทั้งหมดเป็นทางเดี่ยว สถานียังแบ่งออกเป็นสถานีชั้น ๑ ถึงชั้น ๕ ขึ้นอยู่กับชุมนุชนหรือ ความเจริญของภูมิภาคนั้น ๆ



>> การสร้างทางรถไฟทำอย่างไร ทางรถไฟหมายถึงทางที่มีรางเหล็ก ๒ เส้น วางขนานต่อ ๆ กันบนไม้หมอนซึ่งวางตั้งฉากกับราง ไม้หมอนวางอยู่บนชั้นของหินก้อนซึ่งมีขนาดประมาณ ๓-๖ ซม. โดยมีคันดินเป็นฐานรองรับ โดยทั่วๆ ไป ทางรถไฟมัก จะสร้างผ่านไปตามที่ราบ เช่น ทุ่งนา ป่า หรือในพื้นที่ที่เป็นภูเขามีภูมิประเทศสูง ๆ ต่ำ ๆ ติดต่อกันตั้งแต่ต้นทางไปจนสุดปลายทาง ทางที่ต่ำก็มีการถมให้สูงขึ้น ส่วนทางที่สูงก็อาจตัดดินเป็นช่องหรือ เจาะเป็นอุโมงค์หรือถ้ำ เพื่อมิให้มีส่วนที่ลาดชันสูงเกินไป ซึ่งจะเป็นอุปสรรคทำให้รถจักรไม่สามารถลากจูงขบวนรถยาว ๆ ขึ้นได้ เพราะความฝืดระหว่างล้อรถจักรกับรางมีน้อย ถ้าทางผ่านหุบเขา แม่น้ำ ลำคลอง ก็ทำเป็นสะพานข้ามไป สำหรับจุดมุ่งหมายในการสร้างทางรถไฟนั้นต้องมีการพิจารณาถึงประโยชน์และความสำคัญในด้านการคมนาคม การขนส่ง การเศรษฐกิจ การปกครอง และการยุทธศาสตร์ งานที่นับว่าเป็นสิ่งจำเป็นใน การสร้างรถไฟ คืองานสำรวจหาข้อมูลต่างๆ เช่น การสำรวจหาแนวทาง การวางแนวและการสำรวจทาง การวางแนวและการสำรวจทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้เพื่อจะให้ได้รับผลประโยชน์จากทางรถไฟที่จะสร้างขึ้นอย่างเต็มที่ ในสมัย ก่อนงานสำรวจเป็นงานที่ลำบากมาก เพราะอุปกรณ์ที่จะให้ความสะดวกในการสำรวจ เช่น แผนที่ สถิติต่าง ๆ เครื่องมือ เครื่องใช้ การคมนาคม ยานพาหนะ และยารักษาโรค ยังไม่ดีเหมือนในสมัยปัจจุบัน ซึ่งระบบการ สำรวจได้วิวัฒนาการจากเดิมไปมาก นอกจากนี้ปัจจุบันยังมีการสำรวจโดยทางอากาศได้อีกทางหนึ่ง ทำให้ผู้สำรวจทำงานได้รวดเร็วและสะดวกขึ้นมาก การก่อสร้างทางรถไฟสมัยแรกยังไม่มีเครื่องมือกลทุ่นแรง งานส่วนใหญ่จึงทำโดยใช้แรงคน ส่วนในปัจจุบันมีการใช้เครื่องทุ่นแรงและเทคนิคใหม่ๆ ที่ทันสมัย เช่น ดินที่จะนำมาเป็นคันถนนรถไฟก็มีการเลือกเอา แต่ดินที่เหมาะสม ต้องมีการบดอัดให้แน่นเพื่อกันมิให้มีการยุบตัวได้ความลาดชันของทางก็ต้องจำกัดไม่ให้มีมากwbr ทางโค้งก็ทำให้เป็นโค้งกว้างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่ออำนวยให้ขบวนรถสามารถวิ่งด้วยความ เร็วสูงได้ตลอดทาง นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขโดยการเชื่อมรางให้ติดต่อกันเป็นท่อนยาวๆ รางเชื่อมนี้จะทำให้มีความยาวเท่าใดก็ได้ ซึ่งสมัยก่อนต้องมีการเว้นระยะหัวต่อรางทุกๆ ท่อนไว้เสมอ เพื่อให้รางสามารถ ขยายตัวได้เมื่ออากาศร้อน แต่ในปัจจุบันได้แก้ปัญหาเรื่องการยืดตัวหรือหดตัวของราง โดยการยึดรางให้ติดแน่นกับหมอนด้วยอุปกรณ์ชนิดหนึ่งเรียกว่าสมอ (anchor) หรือ คลิป (clip) อันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว รางแบบสปริง ในกรณีเช่นนี้ไม่ว่าอากาศจะร้อนหรือเย็นรางก็จะถูกบังคับให้มีความยาวคงที่ เพราะรางถูกยึดไว้แน่นแล้ว หมอนรองรางซึ่งแต่เดิมเป็น หมอนไม้ก็เปลี่ยนเป็นหมอนคอนกรีต การวางรางบนหมอนคอนกรีตจะมี แผ่นยางกันกระเทือนสอดรองรับไว้ ซึ่งจะช่วยลดความดังของเสียง และลดความกระเทือนลงไปได้มาก นอกจากนั้นรางเชื่อมยังช่วยให้รถสามารถวิ่งได้เรียบและเร็วขึ้นอีกด้วย



>> หลักในการบำรุงรักษาทางรถไฟ สำหรับการบำรุงรักษาทางนั้น เนื่องจากขบวนรถโดยสารและขบวนรถสินค้ามีจำนวนเพิ่มขึ้น พิกัดบรรทุกมากขึ้น และวิ่งด้วยความเร็วสูงขึ้นกว่าเดิม จึงจำเป็นต้องเครื่องมือเครื่องใช้ที่มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้นกว่าเดิม เช่น การนำเครื่องมือกลมาใช้ในการอัดหินเพื่อปรับระดับ เป็นต้น หลักสำคัญของการบำรุงรักษาทางรถไฟ คือ ๑. ให้ระดับของรางทั้ง ๒ ข้าง ต้องเสมอกันในทางตรง และยกโค้งให้ถูกต้องในทางโค้ง ๒. แนวทางในทางตรงต้องตรง ไม่คดไปมา และต้องโค้งได้รูปในทางโค้ง ๓. ระยะห่างระหว่างราง ๒ เส้น ต้องถูกต้อง รถจึงจะวิ่งได้เรียบและปลอดภัย ในการสำรวจเพื่อสร้างทางรถไฟนั้นต้องมีการหาแนวทางที่ดีที่สุดและประหยัดที่สุดถ้าพื้นที่ใดเป็นบริเวณภูเขาก็ต้องพยายามหลีกเลี่ยง ทั้งนี้เพราะการสร้างทางผ่าน ภูเขานั้นทำลำบาก และค่าก่อสร้างก็สูงกว่าการสร้างทางในทางราบมาก เว้นไว้แต่มีความจำเป็นไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในบางกรณีก็ใช้วิธีเจาะเป็นช่องเข้าไปในภูเขา เพื่อ ให้ขบวนรถลอดผ่านภูเขาไปสู่จุดหมายปลายทางได้ ช่องทางรถไฟที่ถูกสร้างขึ้นโดยให้ลอดไปใต้ภูเขานี้ เรียกว่า อุโมงค์ (tunnel) ในปัจจุบันมีอุโมงค์ที่สร้างขึ้นเพื่อ ใช้เป็นทางรถยนต์และทางรถไฟหลายแห่ง ในต่างประเทศมีการสร้างอุโมงค์คลอดลงไปใต้ดิน บางแห่งก็สร้างอุโมงค์จากเกาะหนึ่งลอดลงไปใต้ทะเลแล้วไปโผล่ขึ้นที่อีกเกาะหนึ่ง สำหรับทางรถไฟทุกสายในประเทศไทยมีอุโมงค์อยู่ทั้งสิ้นรวม ๖ แห่ง ล้วนแต่เป็นอุโมงค์ลอดภูเขาทั้งสิ้น คือ อุโมงค์ที่ยาวที่สุดของการรถไฟฯ คือ อุโมงค์ขุนตาล อยู่ที่อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง ระหว่างสถานีแม่ตาลน้อย-ขุนตาล มีความยาว ๑,๓๕๒ เมตร การก่อสร้างใช้ เวลาทั้งสิ้น ๑๑ ปี วิศวกรชาวเยอรมันผู้มีหน้าที่อำนวยการเจาะอุโมงค์นี้คือ นายเอมิล ไอเซนโฮเฟอร์ (Emil Eisenhofer) ซึ่งบัดนี้ถึงแก่กรรมไปแล้ว และได้มีการ สร้างอนุสาวรีย์เล็กๆ ไว้เป็นอนุสรณ์ที่บริเวณปากอุโมงค์ขุนตาลด้านเหนือใกล้กับสถานีขุนตาล ซึ่งผู้ที่นั่งรถไฟผ่านไปมาจะมองเห็นได้อย่างชัดเจน



>> รถจักร คืออะไร รถจักร คือ ยานพาหนะหรือเครื่องล้อเลื่อนที่ออกแบบให้มีกำลังขับเคลื่อนตัวเองได้ และสามารถจะลากจูงรถพ่วงอีกจำนวนหนึ่งที่มีน้ำหนักของตัวรถกับ น้ำหนักของคนโดยสารหรือสินค้ารวมกัน ให้เคลื่อนที่ไปได้บนรางรถไฟ โดยสามารถควบคุมให้มีความเร็วตามที่ต้องการได้ส่วนประกอบที่สำคัญ ๆ ของรถจักร ๑. โครงประธาน เป็นส่วนที่รองรับอุปกรณ์ต่าง ๆ จะวางหรือตั้งอาศัยอยู่บนล้อหลายล้อซึ่งวางอยู่บนราง โครงประธานนี้เปรียบเสมือนกับเป็นพื้นบ้าน ส่วนล้อเปรียบเสมือนกับเป็นเสาของบ้านนั่นเอง ๒. ตัวเครื่องกำเนิดกำลังงาน คือเครื่องจักรกลต้นกำลัง จะติดตั้งอยู่บนโครงประธาน และมีกลไกที่จะถ่ายทอดกำลังงานจากเครื่องกำเนิดกำลังงานไปหมุนล้อ ทำให้เกิดการเคลื่อนตัวเอง พร้อมกันนั้นก็ออกแรงฉุดลากรถพ่วงที่อยู่ข้างหลังหรือดันรถพ่วงที่อยู่ข้างหน้าให้เคลื่อนที่ไปด้วย ๓. ลำตัวสำหรับคลุมและป้องกันตัวอุปกรณ์ของรถบางส่วน และอำนวยความสะดวกแก่พนักงานผู้ควบคุม ส่วนนี้เปรียบเสมือนกับตัวบ้านและหลังคา ภายในลำตัวอาจแบ่งเป็นห้องขับ ห้องเครื่อง และห้องอุปกรณ์อื่น ๆ ๔. เครื่องอุปกรณ์ในการฉุดลากจูงรถพ่วง เรียกว่าเครื่องพ่วง เครื่องพ่วงนี้จะทำหน้าที่ต่อพ่วงรถจักรเข้ากับรถพ่วง ๕. เครื่องอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการควบคุมตัวเครื่องกำเนิดกำลังโดยเฉพาะและควบคุมการทำงานของตัวรถจักรทั้งคัน




>> รถโดยสาร ลักษณะของรถโดยสารอาจแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน ส่วนที่เหนือโครงประธาน คือส่วนที่เป็นลำตัวของรถโดยสาร และส่วนใต้โครงประธานซึ่ง ได้แก่แคร่ รถโดยสารส่วนใหญ่จะเป็นชนิด ๒ แคร่ แคร่ละ ๒ เพลา ๔ ล้อ การออกแบบรถโดยสาร จะคำนึงถึงสมรรถนะในการวิ่งและการทรง ตัวของรถขณะวิ่ง ความปลอดภัยและการอำนวยความสะดวกสบายแก่ผู้โดยสาร รถโดยสารที่ใช้การอยู่ในการรถไฟฯ แบ่งออกเป็นหลายแบบ สุดแต่จะใช้การรถเหล่านั้นไปในลักษณะใด โดยปกติมักจะแยกประเภทเป็น รถนั่ง รถนั่งนอน รถเสบียง และรถบรรทุกสัมภาระ รถนั่งมีทั้งชั้น ๒ จุคนโดยสารได้ประมาณ ๘๐ คน และชั้น ๒ จุคนโดยสาร ประมาณ ๕๐ คน รถนั่งส่วนใหญ่เป็นรถใช้ในเวลากลางวัน แต่ผู้โดยสารไม่อาจจะนอนได้ รถนั่งนอนคือรถที่ใช้เป็นที่นั่งในตอนกลาง วันและดัดแปลงเป็นที่นอนในตอนกลางคืน สำหรับใช้กับขบวนรถที่เดินทางไกลในเวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกันรถนั่งนอนที่แยกเป็น ห้องเหมาะสำหรับผู้โดยสาร ๑ หรือ ๒ คน ซึ่งมีเฉพาะชั้น ๑ รถเสบียง สำหรับปรุงและขายอาหาร รถบรรทุกสัมภาระสำหรับบรรทุก สัมภาระของผู้โดยสารและเป็นที่ทำงานของพนักงานขบวนรถ ในปัจจุบันรถโดยสารบางชนิดของการรถไฟฯ ได้ติดตั้งเครื่องปรับอากาศอยู่จำนวนหนึ่ง เพื่อให้บริการความสบายเพิ่มขึ้นแก่ ผู้โดยสาร เครื่องปรับอากาศนี้จะทำความเย็นภายในรถโดยสารด้วยการดูดอากาศภายในผสมกับอากาศจากภายนอกอีกส่วนหนึ่งผ่านที่กรองอากาศ เพื่อลดฝุ่นละออง แล้วนำไปผ่านเครื่องทำความเย็น ทำให้อากาศนั้นเย็นลงและถูกเป่าโดยพัดลมให้ไหลไปตามท่อ ซึ่งจ่าย ไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของตัวรถโดยสาร รถโดยสารที่มีเครื่องปรับอากาศนี้ ใช้ระบบติดเครื่องอุปกรณ์ปรับอากาศมีสองแบบแบบแรกประจำตัวรถแต่ละคัน เครื่องกำเนิด กำลังไฟฟ้าที่ใช้ในการเดินเครื่องปรับอากาศเป็นเครื่องทำไฟฟ้าขับโดยเพลาล้อ และมีแบตเตอรี่สำรองจ่ายกระแสไฟเมื่อรถหยุดโดย ติดตั้งอยู่ใต้ท้องรถเช่นกัน อีกแบบหนึ่งใช้เครื่องทำไฟฟ้าขับด้วยเครื่องยนต์ดีเซล เครื่องทำไฟฟ้าดังกล่าว จะจ่ายกระแส ไฟฟ้ากับเครื่องปรับอากาศทั้งในเวลารถเดินและรถหยุดสำหรับรถโดยสารปรับอากาศที่เป็นรถนั่งจะติดตั้งเก้าอี้เอนได้แบบที่ ใช้ในเครื่องบิน





>> รถดีเซลราง ประมาณ พ.ศ. ๒๔๗๐ การรถไฟไทยได้นำเอารถโดยสารโบกี้ขับเคลื่อนด้วยตนเองโดยใช้เครื่องกลไอน้ำ เรียกว่ารถโบกี้กลไฟมาใช้การเป็นรถที่สร้างโดยบริษัทบอล์ดวิน แห่งสหรัฐอเมริกา มีลักษณะคล้ายคลึงกับรถจักรไอน้ำ แต่ บรรทุกคนโดยสารได้ด้วย รถชนิดนี้กล่าวได้ว่าเป็นการแผ้วทางในการนำเอารถโดยสารที่ขับเคลื่อนด้วยตนเองมาใช้การ คือ รถดีเซลรางแบบดีเซลไฟฟ้า ซึ่งนำมาใช้การใน พ.ศ. ๒๔๗๕ และต่อมาจนถึงปัจจุบันเป็นรถดีเซลรางและดีเซล ไฮดรอลิค รถดีเซลรางเหล่านี้เดิมที่นำมาใช้เดินรับส่งคนโดยสารในระยะทางใกล้ๆ โดยหยุดรับส่งคนโดยสารตามรายทาง ภายหลังต่อมาได้ใช้การเป็นขบวนรถชานเมือง โดยให้หยุดทุกสถานี และให้เป็นขบวนรถที่เดินทางในระยะไกลปาน กลางระหว่างเมือง (inter city) อีกด้วย รถดีเซลรางที่ใช้การในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นรถที่เรียกกันว่า ๒ คันชุด คือประกอบไปด้วยรถกำลัง ๑ คัน ขับเคลื่อนด้วยระบบดีเซลไฟฟ้า ซึ่งติดตั้งอยู่บนรถส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเป็นห้องคนโดยสารและมีห้องขับอยู่ ตอนหัวรถที่นำทาง และพ่วงตามด้วยรถโดยสารอีก ๑ คัน ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ รถดีเซลรางได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น ทำให้มีสมรรถนะสูง และมีความคล่องตัวในการใช้งาน สามารถที่จะวิ่งได้ด้วยความเร็วสูงกว่า ๘๐ กม./ชม. และสามารถที่จะเร่งความเร็วให้ถึงอัตราเร็วสูงสุดนี้ได้ในระยะเวลาอันสั้น ตัวรถสามารถสร้างให้มีน้ำหนักเบาแต่มีกำลังเครื่องยนต์สูง นอกจากนี้รถดีเซลรางยังมีระบบห้ามล้อประสิทธิภาพสูง จึงทำให้สามารถห้ามล้อ เพื่อหยุดได้ในเวลารวดเร็วเป็นการช่วยให้มีความคล่องตัวเพิ่มขึ้นอีก โดยปกติเรานำเอารถดีเซลรางมาพ่วงต่อกันเข้าเป็นขบวนสำหรับวิ่งรับส่งผู้โดยสารในระยะใกล้ และหยุดรับส่งผู้โดยสารทุกสถานี มีบางคราวที่นำไปใช้วิ่ง บริการในระยะไกลปานกลางแทนขบวนรถโดยสารซึ่งลากจูงโดยรถจักร


>> รถบรรทุกสินค้ารถบรรทุกสินค้าที่ใช้อยู่ในรถไฟฯ แบ่งออกเป็น ๓ ประเภทคือ ก. รถเปิด คือ รถที่ไม่มีหลังคาคลุม ข. รถปิด คือ รถที่มีหลังคาคลุม ค. รถพิเศษ คือ รถที่ใช้สำหรับบรรทุกของใหญ่และหนัก หรือสิ่งของที่จะบรรทุกบนรถประเภท ก. และ ข. ไม่ได้ รถบรรทุกตามแบบ ก. และข. มี ๒ ชนิด คือ ชนิด ๔ ล้อ โดยมีล้อพร้อมเพลาติดตั้งอยู่กับโครงประธานโดยตรงคันละ ๒ เพลา ๔ ล้อ และชนิดโบกี้ ๘ ล้อซึ่งมีแคร่โบกี้คันละ ๒ แคร่ และมีล้อพร้อมเพลาติดตั้งอยู่แคร่โบกี้ละ ๒ เพลา ๔ ล้อ รถชนิด ๔ ล้อ จะมีขนาดเล็ก กว่ารถบรรทุกโบกี้ ๘ ล้อ รถบรรทุกทั้ง ๒ แบบนี้ ยังจัดทำให้มีลักษณะแตกต่างกันออกไป เพื่อให้เหมาะสมกับสินค้าต่าง ๆ ที่จะทำการบรรทุกอีกด้วย รถบรรทุกแบบพิเศษ คือ รถที่ออกแบบไว้เป็นพิเศษ เพื่อบรรทุกของที่มีน้ำหนักมากและมีขนาดใหญ่ เช่น บรรทุกหม้อน้ำหรือเครื่อง จักรกลที่มีขนาดหนักและใหญ่โต รถแบบนี้มักจะออกแบบและสร้างให้ตัวรถยาววางอยู่บนแคร่โบกี้รวม ๘ ล้อ บางแบบลดตัวพื้นรถให้ต่ำลง มาเพื่อสิ่งบรรทุกจะได้ไม่สูงเกินไปจนไปกระทบสิ่งปลูกสร้างริมทางรถไฟและโครงสร้างของสะพานรถไฟ รถบางอย่างออกแบบไว้สำหรับการบรรทุก น้ำมันเครื่องเคมีที่เป็นของเหลว และปูนซิเมนต์ นอกจากนี้ก็ยังมีรถสำหรับบรรทุกสินค้าที่ต้องการอุณหภูมิต่ำ เช่น รถบรรทุกปลาและเนื้อสัตว์ ผลไม้ ผัก รถบรรทุกที่มีอุณหภูมิ ต่ำนี้ใช้น้ำแข็งก้อนเก็บไว้ในถังภายในรถแล้วปล่อยให้ความเย็นมาหมุนเวียนภายในรถ บางชนิดก็ใช้น้ำแข็งแห้งแทน ภายในตัวรถบุด้วยฉนวนกัน ความร้อนโดยรอบ ถ้าเป็นรถที่จะใช้ขบวนสินค้าเร็ว ก็ออกแบบให้มีเครื่องเคลื่อนไหวและตัวรถให้เหมาะสมกับความเร็วสูง เพื่อการทรงตัวจะได้ดีขึ้น







ลองดูแย้วจาติดจาย











































































































































































































































































































































































































































































































































วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2552

คนบ้ารถไฟ










ประวิติของรถไฟแห่งประเทศไทย

ปีรัตนโกสินทรศก 105 ตรงกับปี พ.ศ. 2429 กิจการรถไฟได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อรัฐบาลได้อนุมัติสัมปทาน แก่บริษัทชาวเดนมาร์กให้สร้างทางรถไฟจากกรุงเทพฯถึงสมุทรปราการ ระยะทาง 21 กิโลเมตร หลังจากนั้น ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2433 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตั้งกรมรถไฟหลวงขึ้นสังกัดกระทรวงโยธาธิการ ครั้นเมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2439 พระองค์จึงเสด็จทรงประกอบพระราชพิธีเปิดการเดินรถไฟระหว่างกรุงเทพฯ - อยุธยา ระยะทาง 71 กิโลเมตร ซึ่งทางการได้ถือเอาวันนี้เป็นวันสถาปนากิจการรถไฟหลวง ความกว้างของรางเมื่อแรกสร้างทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นรางกว้าง 1.435 เมตร ระยะทางทั้งหมด 1,076 กิโลเมตร ส่วนทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเป็น รางกว้าง 1.00 เมตร ที่สร้างเป็นรางขนาด 1.00 เมตรก็เพื่อให้มีขนาดเท่ากับ ของประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลาย คือ มาเลเซีย พม่า เขมร ต่อจากนั้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงให้เปลี่ยนราง ขนาด 1.435 เมตร ทางฝั่งตะวันออก ที่สร้างไปแล้วทั้งหมดเป็นขนาด 1.00 เมตร โดยใช้เวลาทั้งสิ้น 10 ปี แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2469
หัวรถจักรไอน้ำสายแม่กลอง
ในปี พ.ศ. 2471 ได้นำหัวรถจักรดีเซลรุ่นแรก ยี่ห้อ S.L.M. Winterthur รุ่น 21 - 22 จำนวน 2 คัน จากประเทศสวิสเซอร์แลนด์มาใช้งาน โดยใช้เป็นรถจักรลากจูงสับเปลี่ยนทำขบวนรถไฟและลากจูงขบวนรถท้องถิ่นรอบ ๆ กรุงเทพฯ (ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียอาคเนย์ที่นำรถจักรดีเซลมาใช้งาน) และต่อมาในปี 2504 ได้เริ่มโครงการ Dieselization โดยทยอยจัดหารถจักรดีเซล มาใช้แทนรถจักรไอน้ำซึ่งใช้เวลา 14 ปี จึงแล้วเสร็จในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 กิจการรถไฟประสบภัยสงครามอย่างหนักทรัพย์สินทั้งทางอาคาร และรถจักรล้อเลื่อน ได้รับความเสียหายมากจำต้องเร่งบูรณะฟื้นฟูให้กลับสู่สภาพเดิม โดยเร็วถ้าจะอาศัย เงินลงทุนจากงบประมาณของรัฐแหล่งเดียวจะไม่ทันการณ์ รัฐบาลจึงต้องขอกู้เงินจาก ธนาคารโลกมาสมทบในระหว่างการเจรจากู้เงินนั้นธนาคารโลกได้เสนอให้รัฐปรับปรุง องค์กรของกรมรถไฟหลวงให้มีอิสระกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวใน การ บริหารกิจการในเชิงธุรกิจกรมรถไฟหลวง จึงเปลี่ยนฐานะมาเป็นรัฐวิสาหกิจประเภท สาธารณูปการ ภายใต้ชื่อว่า การรถไฟแห่งประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2494 เป็นต้นมา โดยดำเนินการอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.การรถไฟฯ ฉบับ พ.ศ. 2494 ซึ่งในหลักการรัฐคุมการแต่งตั้งและปลดผู้บริหาร คุมอัตราเงินเดือนพนักงาน คุมอัตราค่าโดยสาร และค่าระวาง คุมการปิดเปิดเส้นทางและการบริการ และคุมการลงทุนทั้งหมด แต่หากดำเนินงานขาดทุนรัฐจะชดเชยให้เท่าจำนวนที่ขาด
หัวรถจักรดีเซลรุ่นแรกของไทย

การรถไฟแห่งประเทศไทย

เมื่อพูดถึงรถไฟ... มโนภาพที่หลาย ๆ ท่านเห็นก็คือภาพรถไฟที่ใช้หัวรถจักรไอน้ำลากจูงมีควันพุ่งโขมงแบบนี้แหละ แต่ท่านเคยทราบหรือไม่ว่ารถจักรไอน้ำได้นำเข้ามาใช้ในเมืองไทยในสมัยใด รถจักรไอน้ำคันสุดท้ายหน้าตาเป็นอย่างไร ถ้าอยากทราบเชิญติดตามได้เลยครับ


หลังจากที่การรถไฟได้ใช้หัวรถจักรไอน้ำลากจูงขบวนรถไฟมาหลายปี ต่อมาเมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2508 การรถไฟก็ได้ใช้หัวรถจักรดีเซลลากจูงขบวนรถไฟเป็นครั้งแรก


การรถไฟแห่งประเทศไทย จัดขบวนรถไฟฟรีเพื่อประชาชน ตามมาตรการของรัฐบาล เป็นเวลา ๖ เดือน ที่สถานีรถไฟบ้านตาคลี ให้บริการทุกวัน วันละ ๑๐ ขบวน ถึงเดือนมกราคมปีหน้านอกจากนี้ยังสมารถโดยสารฟรีในขบวนรถเร็วที่จัดตู้โดยสารชั้น 3 ด้วย









หัวรถจักรดีเซลที่ใช่อยู่ในปัจจุบัน มีอยู่ด้วยกัน 4 ยี่ห้อ คือ


KRUPP-ALSTHOM-HITACHI-GE (GENERAL ELECTRIC)

GRUPP เป็นหัวรถจักรดีเซลไฮโดรลิคส์ ใช้ระบบขับเคลื่อนด้วยเฟืองส่งกำลังไปยังเพลาและล้อเพื่อขับเคลื่อนหัวรถจักรอีกต่อหนึ่ง หัวรถจักยี่ห้อนี้ไม่กลัวน้ำ เมื่อเวลาน้ำท่วมรางรถไฟ การรถไฟจะใช้หัวรถจักรยี่ห้อนี้ไปแทนหัวรถจักรดีเซลไฟฟ้าซึ่งถูกน้ำไม่ได้เพราะใช้ระบบขับเคลื่นด้วยไฟฟ้า

ALSTHOM , HITACHI , GE เป็นหัวรถจักรดีเซลไฟฟ้า ใช้ระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า เครื่องยนต์ของหัวรถจักรยี่ห้อต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ได้ทำหน้าที่ขับเคลื่อนหัวรถจักรโดยตรง แต่เครื่องยนต์จะทำหน้าที่ปั่นไดนาโมให้กำเนิดไฟฟ้าแล้วส่งไปยังมอเตอร์กำลังเพื่อไปฉุดเพลาล้อให้ขับเคลื่อนอีกทีหนึ่ง หัวรถจักรแต่ละหัวจะมีเพลาล้อ 6 เพลา จึงใช้มอเตอร์ทั้งหมด 6 ตัวครับ ดังนั้นถ้าเกิดกรณีน้ำท่วมรางรถไฟสักประมาณ 10 ซ.ม. หัวรถจักรเหล่าไม่สามารถแล่นได้เพราะน้ำจะเข้าไปในมอเตอร์ซึ่งอยู่ใต้ท้องของตัวรถจักรอาจทำให้ไฟฟ้าว๊อตเสียหายได้

หัวรถจักรดีเซล เอส แอล เอ็ม วินเตอร์เชอร์ รุ่น 21 - 22 หัวรถจักรรุ่นนี้มีจำนวน 2 คันกำลัง 200 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 40 กม./ชม.รถจักรดีเซลรุ่นแรกที่นำมาใช้ในเมืองไทย และเป็นประเทศแรกในเอเชียอาคเนย์ที่ได้นำรถจักรดีเซลมาใช้ประเทศผู้สร้าง สวิสเซอร์แลนด์นำมาใช้ในปี พ.ศ. 2471หัวรถจักรประวัติศาสตร์ปัจจุบันตั้งอยู่ที่หน้าตึกบัญชาการรถไฟ



การจราจรรถไฟ








การจราจรรถไฟ ควบคุมโดยสถานีรถไฟต่าง ๆ ที่รถไฟเข้าไม่ว่าจะเป็นการเข้าจอดรับผู้โดยสารหรือวิ่งผ่าน นายสถานีจะแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ประจำสถานีคนหนึ่งทำหน้าควบคุมการจราจรรถไฟเรียกว่าเจ้าหน้าที่คุมประแจ มีหน้าที่คอยสับประแจรางและป้ายสัญญาณต่าง ๆ เพื่อให้รถไฟเดินรถเข้าสถานีด้วยความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่มีรถไฟเข้าสถานี 2 ขบวนในเวลาเดียวกัน(สวนทางกัน) หรือสับหลีกให้รถที่มีลำดับศักดิ์ดีกว่าไปก่อนแล้วให้รถลำดับศักดิ์รองลงมาจอดรอการสับประแจรางเพื่อให้รถเดิน มีอยู่ 3 ทิศทางคือ ทางตรง แยกขวา แยกซ้ายตามภาพข้างบนนี้ เป็นการสับประแจเพื่อให้รถวิ่งทางตรงครับ โดยสังเกตุจากโคมประแจช่องสี่เหลี่ยมสีขาวรูปก้อนอิฐแนวตั้ง หมายถึงให้รถไปทางตรง สัญลักษณ์ของโคมประแจนี้จะช่วยบ่งบอกว่าการสับประแจถูกต้องหรือไม่ด้วย โคมนี้จะแสดงให้เห็นทั้งสองด้าน คือ ด้านที่รถไฟมาเพื่อแสดงให้ พ.ข.ร.ทราบ ส่วนด้านที่หันมาทางสถานีเพื่อให้นายสถานีหรือเจ้าหน้าที่ทราบ
ให้สังเกตุที่หัวประแจราง จะเห็นว่า ด้านหนึ่งจะชิดติดกันกับอีกรางหนึ่ง อีกด้าหนึ่งจะแยกห่างออกจากราง การสังเกตุว่าหัวประแจรางถูกสับให้รถไฟวิ่งไปทางไหน ให้สังเกตุรางด้านที่หัวประแจแยกออกห่างเป็นหลักไว้ก็ได้(ความคิดเห็นส่วนตัว) รางด้านที่หัวประแจถูกสับให้แยกห่างออกมามีทิศทางไปทางไหน เมื่อรถไฟวิ่งมาก็ต้องถูกบังคับให้ไปตามรางนั้น โดยมีรางหัวประแจที่ถูกผลักให้ไปชิดกับรางอีกด้านหนึ่งเป็นรางคู่ขนานของรางคู่นั้น



ตัวอักษรย่อข้างโบกี้รถไฟ



ท่านเคยสังเกตไหมครับว่าที่ด้านข้างโบกี้รถไฟทุกโบกี้จะมีอักษรย่อกำกับไว้ทุกโบกี้ อักษรย่อเหล่านั้นมีความหมายว่ากระไร เรื่องนี้ผมเองก็เคยสงสัยอยู่นานเหมือนกัน แต่เมื่อได้ไปค้นข้อมูลที่ ศูนย์ข้อมูลข่าวสาร กองประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย ผมก็ได้คำตอบที่ชัดเจนแล้วครับท่านที่เคยมีข้อสงสัยเช่นเดียวกับผมก็ลองไปหาข้อมูลที่นี้ได้นะครับ มีข้อมูลที่เกี่ยวกับรถไฟเพียบเลยครับ เขาเปิดให้บริการตั้งแต่วันจันทร์ – ถึงวันศุกร์ ในเวลาราชการครับ แต่ถ้าท่านไม่ค่อยจะมีเวลาไป ผมได้นำมาเสนอท่านแล้วครับ อักษรย่อข้างโบกี้รถไฟมี 2 หมวด คือ หมวด โบกี้รถโดยสาร และโบกี้รถสินค้า



มาดูวิวข้างทางรถไฟกัน ฉวย ๆ ๆ


............ภาพเนี้ยได้อารมณ์มากรู้ปะ

ช้าช้า..กำลังดี..............................
..........ดูดีดี วิวสวยนะ









ที่มา ( http://www.rotfaithai.com/ )
เข้ามาดูกันเยอะๆนะ เว็บนี้สำหรับคนบ้ารถไฟ